ก่อนตัดสินใจเลือกกล้อง CCTV เพื่อรักษาความปลอดภัย ควรคำนึงถึงสถานที่ติดตั้งให้เหมาะสมกับกล้อง CCTV จะมีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยให้เราตัดสินใจเลือกใช้กล้อง CCTV แบบไหนคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายมากที่สุด โดยจะพิจารณาแยกเป็นหัวข้อดังนี้
พื้นที่โดยรอบบริเวณมีแสงน้อยแต่ไม่มืดสนิท
การติดตั้งกล้องกับพื้นที่ประเภทนี้สามารถติดตั้งกล้องที่ไม่มีอินฟราเรดได้ เช่นพวกกล้อง CCTV แบบ Day Night หรือ กล้อง CCTV แบบสีทั้งกลางวัน/กลางคืนพวกกล้อง CCTV Starlight ได้ เพราะกล้องทั้งสองชนิดไม่ต้องการแสงมาก เพียงสลัวๆก็สามารถจับภาพได้เป็นอย่างดี แต่ กล้อง CCTV Starlight จะมีคุณสมบัติพิเศษกว่าคือระยะไฟกัสจะไม่จำกัดระยะทาง หรืออินฟินิตี้ และหากมืดสนิทแต่มีแสงจากดวงจันทร์เพียงเล็กน้อยในเวลากลางคืนกล้องก็สามารถมองเห็นได้
พื้นที่โดยรอบมืดสนิทในเวลากลางคืน
การติดตั้งกล้องประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกล้อง CCTV แบบมีอินฟราเรด เพราะแสงจากอินฟราเรดจากกล้องจะช่วยให้เราจับภาพได้และภาพจะเป็นขาวดำ และ ประหยัดค่าใช่จ่ายกว่าการที่เราจะติดหลอดไฟ หรือหากไม่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการติดหลอดไฟก็จะยิ่งทำให้กล้องสามารถจับภาพได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากแสงสว่างเพียงพอกล้อง CCTV ประเภทนี้ก็จะจับภาพออกมาเป็นสีได้ในเวลากลางคืน
ซึ่งการเลือกกล้องประเภทนี้ควรคำนึงถึงค่า Lux ที่มากับกล้องหรือซึ่งค่า Lux ก็คือค่าความสว่างของแสงยิ่งกล้องระบุค่าน้อยๆ จะยิ่งทำให้กล้องสามารถเห็นภาพได้สว่างที่สุด แต่ไม่ควรเป็น 0 Lux จะทำให้จับภาพไม่ได้ แต่หากไม่ระบุไว้ก็ไม่ต้องกังวลใดๆเพราะส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะผลิตออกให้สามารถใช้งานได้
จำนวนหลอดอินฟราเรดก็มีความสำคัญต่อระยะทางของแสง ซึ่งยื่งจำนวนหลอดมากจะยิ่งทำให้ระยะไกลออกไป เช่น กล้องที่มีหลอดอินฟราเรด 24 หลอดจะได้ระยะทางประมาณ 20 เมตร กล้องที่มีหลอดอินฟราเรด 36 หลอดจะได้ระยะทาง 25 เมตร – 30 เมตร หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับผู้ผลิด
เมื่อนำมาเปรียบเทียบและทดสอบหากนำกล้องที่มีหลอด LED อินฟราเรด 24 หลอด กับ LED อินฟราเรด 36 หลอด มาติดตั้งในห้องแล้วปิดไฟมืดสนิท จะเห็นได้ชัดว่ากล้องที่หลอดอินฟราเรด 36 หลอดจะสว่างและครอบคลุมพื้นที่มากกว่า
นอกจากกล้องที่เป็นหลอดอินฟราเรดแล้วยังมีกล้องประเภทที่ใช้หลอด LED Array ซึ่งจะมีจำนวนหลอดน้อยกว่ามากแต่จะดวงใหญ่กว่าอินฟราเรด จำนวนหลอดขึ้นอยู่กับผู้ผลิตโดยจะมีตั้งแต่ 3 หลอดถึง 6 หลอด
ซึ่งหากลองนำกล้องที่มีหลอดอินฟราเรด 24 หลอด กับ กล้องที่ใช้หลอด LED Array 3 หลอด กล้องที่ใช้แบบ LED Array จะสว่างกว่า ถึงแม้หลอด Array จะสว่างมากแต่ก็ไม่ครบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเท่ากล้องที่มีหลอดอินฟราเรด 36 หลอดซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในตอนนี้ ซึ่งก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย
สำหรับกล้องอินฟราเรดที่หลอด Array 4-6 หลอด เมื่อเทียบกับ กล้องอินฟราเรด 36 หลอด ความสว่างจะพอๆกัน ขึ้นอยู่กับความชอบและการเลือกใช้งาน
พื้นที่ที่ต้องการดูภาพแบบย้อนแสง
กล้องที่ใช้กับพื้นที่แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่กว้างๆ เช่นลานจอดรถตามห้างสรรพสินค้า,โรงแรม หรือบนถนนที่มีรถวิ่ง เพื่อลดแสงสะท้อนจากหลอดไฟหน้ารถที่ให้สามารถมองเห็นรถ และทะเบียนได้ชัดเจน ซึ่งกล้องที่ใช้จะเป็นแบบ Backlight
กล้องที่ควรเลือกใช้งาน
จากคำอธิบายข้างต้นทำให้ท่านรู้การทำงานของกล้องแต่ละประเภท แต่ยังไงก็ต้องมีข้อสรุปว่าจะใช้งานกล้องประเภทไหน ซึ่งกล้องจะมีทั้งแบบเดินสาย RG6 , เดินสายแลนซึ่งจะเป็นกล้อง IP Camera และกล้องไร้สายที่เน้นถึงความสะดวกการติดตั้งและร่นระยะทางเพียงเดินสายไฟมาที่จุดติดตั้งเท่านั้นก็สามารถใช้งานได้เลย
กล้องแบบเดินสายแบบ RG6 กับแบบเดินสายแลน
ความชัดของภาพจะไม่ต่างกันมากด้วยความละเอียดที่เท่ากัน เมื่อดูจากหน้าจอเครื่องบันทึก แต่หากความละเอียดสูงเกิน 2 ล้านพิเซลขึ้นไปกล้องแบบ IP Camera จะมีความเร็วในการบันทึกมากกว่า กล้องแบบเดินสาย RG6
ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ช่างทั่วไปส่วนใหญ่นิยมติดตั้งกล้องแบบเดินสาย RG6 เพราะติดตั้งได้ง่ายและไม่ต้องปรับค่าอะไรเพียงเดินสายและเข้าหัว BNC ก็สามารถใช้งานได้เลย แต่มีข้อเสียคือ หากเข้าหัวไม่ดีหรือระหว่างทางมีสัญญานรบกวน ภาพอาจเกิดอาการเป็นเส้น กระพริบ เบลอ หรือภาพไม่ติดที่หน้าจอได้ ส่วนกล้อง IP จะเดินด้วยสายแลนโดยจะต้องมีความรู้ด้านเครือข่ายอยู่บ้างและมีราคาสูงกว่ากล้องแบบเดินสาย RG6 แต่มีข้อดีคือจะไม่มีสัญญานรบกวนหากเดินสายและเข้าหัว RJ45 ถูกต้อง และมีลูกเล่นต่างๆมากกว่ากล้องแบบเดินสาย RG6 และมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั่ง โดยปัจจุบันสามารถบันทึกได้ถึงระดับ 4K ซึ่งกล้องแบบเดินสาย RG6 ปัจจุบันสูงสุดที่ 5MP เท่านั้น
กล้องแบบไร้สาย
จะเน้นถึงความสะดวกในการติดติดตั้ง และส่วนใหญ่จะเป็นกล้อง IP Camera ซึ่งหากดูจากหน้าจอเครื่องบันทึกจะคล้ายมีการดีเลย์บ้างเพราะกล้องไร้สายจะค่อยๆส่งสัญญานภาพไปเรื่อยๆตราบใดที่สัญญานยังไม่ขาดหาย แต่การบันทึกเมื่อดูย้อนหลังจะมีคุณภาพเทียบเท่ากล้องเดินสาย ยกตัวอย่างเช่นเราถ่ายโอนข้อมูลในวงแลนที่ความเร็ว 10/100 กับ 10/100/1000 แบบหลังย่อมเสร็จแล้วกว่า แต่ผลสุดท้ายก็จะได้ข้อมูลครบเหมือนกัน
กล้องไร้สายในปัจจุบันจะมีทั้งแบบตัวเดียวแยก(แบบแรก) และ กล้องที่มาเป็นชุดพร้อมกล่องบันทึกข้อมูล(แบบที่สอง) แบบแรกจะมีขายทั่วไปตามท้องตลาดสามารถบันทึกเสียงได้ หมุนซ้าย-ขวา-บน-ล่างได้ และโต้ตอบผ่านโทรศัพท์ระยะไกลได้แต่มีข้อเสียที่การบันบันทึกจะได้ไม่มากเพราะการจัดเก็บข้อมูลจะใช้หน่วยความจำแบบ Micro SD Card การใช้งานกล้องชนิดนี้เหมาะกับการใช้งานภายในบ้าน สำหรับแบบที่สองจะเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะสามารถติดตั้งได้ทั้งภายในและภายนอกการบันทึกและการดูย้อนหลังจะได้นานกว่าขึ้นอยู่กับขนาดของ harddisk สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ และสามารถติดตั้งได้หลายจุดพร้อมกัน โดยปัจจุบันสามารถติดตั้งได้สูงสุด 10 กล้องพร้อมกัน
ขนาดของเลนส์กล้องที่ควรเลือกใช้งาน
ขนาดเลนส์กล้องจะมีผลกับการบันทึกภาพเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2.8mm – 4.0mm เพราะภาพที่ได้จะเหมือนมองด้วยตาเปล่ามากที่สุด ซึ่งกล้อง CCTV ส่วนใหญ่จะมีขนาดตั้งแต่ 1.4mm – 14mm
ในปัจจุบันเลนส์ขนาด 3.6mm มุมกว้างถึง 95 องศา ขนาด 2.8mm มุมกว้างถึง 115 องศา